“บีโอไอจะเป็นองค์กรที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศ”
หลังภาคการลงทุนของไทยชะงักงันจากพิษโควิด-19 ที่ผ่านมา ล่าสุดปีนี้กลับมาฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2566
หลังสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2565) มูลค่ารวม 439,090 ล้านบาท ทำให้ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ที่เพิ่งรับตำแหน่งเลขาธิการบีโอไอ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ลูกหม้อบีโอไอที่เดินหน้าขับเคลื่อนการลงทุนไทยอย่างต่อเนื่อง แสดงความมั่นใจว่าตลอดปี 2565 จะมียอดคำขอถึง 600,000 ล้านบาทจากเดิมต้นปีตั้งเป้าไว้ที่ 500,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2566 ก็มั่นใจตัวเลขจะเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
⦁ บีโอไอดันไทยสู่3เศรษฐกิจใหม่
ปัจจัยสำคัญมาจากเศรษฐกิจโลกและไทยที่กำลังฟื้นตัวแม้จะเผชิญกับภาวะกดดันจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกดดันเงินเฟ้อทั่วโลก แต่หมัดเด็ดของไทยมาจาก ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) ที่เพิ่งได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา
เลขาฯนฤตม์ให้สัมภาษณ์ถึงร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปีว่า สาระสำคัญของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ เศรษฐกิจใหม่ ที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว โดยบีโอไอวางเป้าหมายให้บรรลุผล 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ 1.Innovative เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ 2.Competitive เป็นเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถปรับตัวเร็ว และสร้างการเติบโตสูง และ 3.Inclusive เป็นเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งการสร้างโอกาส และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
⦁ ปั้น 5 ฮับ-ชู 7 หมุดหมาย
เลขาธิการบีโอไอกล่าวว่า จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก การตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างประเทศ นำไปสู่การปรับห่วงโซ่อุปทานและการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ เป็นโอกาสของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค (Regional Hub) อย่างน้อย 5 ด้าน ได้แก่ 1.Tech Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ และอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เป็นต้น 2.BCG Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น
3.Talent Hub เป็นศูนย์รวมผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เช่น ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทักษะสูง ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย กลุ่มสตาร์ตอัพ ไปจนถึงนักลงทุนและผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง เป็นต้น 4.Logistics & Business Hub เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ธุรกิจบริการ ธุรกิจด้านการเงินและการค้าระหว่างประเทศและ 5.Creative Hub เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ เกมและอีสปอร์ต
เลขาฯนฤตม์ยังระบุว่า จากยุทธศาสตร์ใหม่ บีโอไอได้กำหนด 7 หมุดหมายสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ และยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ประกอบด้วย 1.การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความโดดเด่น ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยมีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งของซัพพลายเชน 2.เร่งเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่ Smart & Sustainability 3.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค 4.ส่งเสริมเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพ ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อกับโลก 5.ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง6.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม และ 7.ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ
⦁ รื้อบทบาทองค์กรครั้งใหญ่
นอกจากนี้ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เลขาฯนฤตม์กล่าวว่า บีโอไอจะปรับเปลี่ยนบทบาทจากเดิมเป็นผู้ส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์ (Promoter) มาสู่การให้น้ำหนักกับการเป็นผู้บูรณาการเครื่องมือสนับสนุนการลงทุน (Integrator) ผู้ให้บริการและอำนวยความสะดวก (Facilitator) และผู้เชื่อมโยงอุตสาหกรรมเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ (Connector) มากขึ้น เพราะในโลกยุคใหม่ที่มีความท้าทาย ความผันผวน และมีการแข่งขันสูง บีโอไอจะเป็นองค์กรที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศ โดยพร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อนำประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่
ยกตัวอย่างมาตรการด้านภาษี ไม่ได้มีแค่บีโอไอที่เดียว แต่หน่วยงานรัฐหลายแห่งมีสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติทุกขนาด อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือสำนักงานอีอีซี บีโอไอจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการสื่อสารเรื่องเหล่านี้ด้วย ซึ่งสำคัญต่อนักธุรกิจ นักลงทุนมากๆ นอกจากนี้จะรับฟังความเห็นจากองค์กรภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเด็นสำคัญ อาทิ การส่งเสริมเอสเอ็มอี ขับเคลื่อนลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยหารือกับหอการค้าไทยแล้วเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา และวันที่ 25 พฤศจิกายน จะหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต่อไป เลขาฯนฤตม์ระบุ
⦁ อัดกว่า 200 กิจกรรมดึงลงทุนปี ’66
เลขาฯนฤตม์ยังกล่าวถึงแผนชักจูงการลงทุนปีงบประมาณ 2566 ว่า บีโอไอได้วางแผนจัดกิจกรรมเจาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศกว่า 200 ครั้ง ทั้งการสัมมนารายอุตสาหกรรม รายประเทศ และสัมมนากลุ่มองค์กรที่มีบทบาทสำคัญด้านการลงทุน อาทิ ธนาคาร บริษัทที่ปรึกษา และหน่วยงานพันธมิตร การจัดประชุมโต๊ะกลมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เดินสายพบปะผู้บริหารเป็นรายบริษัท ทั้งโดยส่วนกลางและสำนักงานบีโอไอในต่างประเทศ 16 แห่ง
โดยการจัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนในปี 2566 จะโฟกัสมากขึ้น และใช้ความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตรมากขึ้น เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด โดยนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายหลักๆ มีทั้งภูมิภาคเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินเดีย นอกจากนี้ก็มีสหรัฐอเมริกา และประเทศหลักๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เป็นต้น
⦁ ปลุกลงทุนเอสเอ็มอี-สตาร์ตอัพไทย
เลขาฯนฤตม์กล่าวอีกว่า ในแง่อุตสาหกรรม บีโอไอจะมุ่งไปที่อุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และชิ้นส่วนสำคัญ, อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์อีวี, กลุ่มบีซีจี โดยเฉพาะไบโอเทคและวัสดุชีวภาพ, ดิจิทัล, เครื่องจักรและระบบอัตโนมัติ รวมทั้งการเชิญชวนให้บริษัทชั้นนำเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค และศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทย โดยบีโอไอจะเน้นดึงนักลงทุนรายสำคัญที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นเหมือนแม่เหล็กในการดึงเครือข่ายธุรกิจตามมาอีกในอนาคต
“นอกเหนือจากนักลงทุนต่างชาติ บีโอไอยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้มแข็ง และมีขีดความสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตระดับโลก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งจะเป็นกองทัพผู้ประกอบการยุคใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ และกลุ่มสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นแหล่งรวมคนหนุ่มสาวที่มีพลังในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ” เลขาฯนฤตม์ทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก : https://www.matichon.co.th/economy/news_3646580
