จากกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่าสามารถปิดดีลภาษีกับญี่ปุ่นได้โดยญี่ปุ่นจะเสียภาษีสำหรับสินค้าที่จะนำเข้าสหรัฐ 15% โดยแลกกับการที่ญี่ปุ่นจะเปิดตลาดการค้าในประเทศให้สหรัฐในหลายสินค้า และญี่ปุ่นต้องลงทุนในสหรัฐในวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์
ในประเด็นนี้ทำให้ภาคเอกชนมีข้อกังวลว่าจะกระทบกับการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในประเทศไทยเพราะอัตราภาษีที่ญี่ปุ่นได้รับนั้นต่ำกว่าไทย ขณะเดียวกันการที่ญี่ปุ่นต้องมีการลงทุนในสหรัฐมากขึ้นจะกระทบการลงทุนในไทยในไทยหรือไม่
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บีโอไอ” นายนฤตม์ กล่าวว่าฐานการผลิตของญี่ปุ่นในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งสูง และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีระบบซัพพลายเชนครบวงจร และมีประสิทธิภาพในระดับต้นๆ ของโลก
นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาค รวมทั้งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก มิใช่เพียงตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น
สำหรับเรื่องความแตกต่างของอัตราภาษีสหรัฐฯ จะมีผลต่อการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ โดยบริษัทที่ได้รับผลกระทบอาจมีการวางแผนปรับเปลี่ยนคำสั่งผลิตบางส่วน ในระหว่างฐานการผลิตที่มีในประเทศต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราภาษีใหม่ เช่น ส่วนที่ผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อาจพิจารณาย้ายคำสั่งผลิตไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ และโยกส่วนที่ผลิตเพื่อป้อนตลาดอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ยุโรป หรือตะวันออกกลาง ซึ่งก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มาผลิตทดแทน เพื่อรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิตและประสิทธิภาพของโรงงาน เป็นการปรับเปลี่ยนในลักษณะการวางแผนการผลิต ซัพพลายเชน และการใช้ทรัพยากรในโรงงาน (re-allocation) ไม่ใช่การย้ายฐานการผลิต (relocation)
ด้านนายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในประเด็นเดียวกันว่าในเรื่องนี้ยังคงต้องประเมินความชัดเจนจะกระทบลงทุนในไทยหรือไม่ เพราะการลงทุนเป็นกิจกรรมหวังผลระยะปานกลางถึงยาว 5-10 ปี มากกว่าเป็นการหวังผลในระยะสั้น
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงการลงทุนทำได้ไม่ง่าย ซึ่งการย้ายฐานจะเกิดขึ้นกรณีนักลงทุนแน่ใจว่าไทยได้ข้อสรุปเจรจาสหรัฐที่แข่งขันไม่ได้ และภาษีไทยจะสูงกว่าญี่ปุ่นระยะยาว
“นอกจากเรื่องภาษี ต้นทุนการย้ายการลงทุนก็ไม่ถูกและไม่ได้ย้ายกันง่ายๆ นั่น คือถ้าภาษีที่โดนจัดเก็บของไทยไม่สูงกว่าญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น สูงกว่า 10-15% อาจไม่ตัดสินใจย้ายเพราะมีปัจจัยเรื่องอื่นด้วย”
สำหรับการลงทุนขณะนี้นักธุรกิจชะลอการลงทุน เพื่อรอข้อสรุปอัตราภาษีให้ชัดเจนจึงจะเริ่มลงทุนเพื่อให้แน่ใจว่าตัดสินใจได้ถูกต้อง
ส่วนประเด็นข้อเสนอการลงทุนในสหรัฐของญี่ปุ่น 500,000 ล้านดอลลาร์ จะทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาเซียนลดหรือไม่ นายนณริฏ กล่าวว่า ต้องจับตาดูเป็นการลงทุนสาขาใด และระยะเวลาที่ลงทุนนานแค่ไหน โดยถ้าลงทุนระยะยาวเมื่อเฉลี่ยมูลค่าการลงทุนต่อปีจะไม่สูง
ขณะที่ถ้าเป็นการลงทุนสาขาที่ไม่ตรงกับการลงทุนในไทยอาจเป็นเงินคนละส่วน และไม่กระทบแผนการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย ส่วนถ้าเป็นเงินลงในสาขาที่ตรงกับไทยอาจจะเสี่ยงมากขึ้น
ปัจจุบันตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ในปี 2567 ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยโดยมีการจดทะเบียนธุรกิจรวม 254 ราย คิดเป็น 27% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย มีวงเงินลงทุนรวม 121,190 ล้านบาท
โดยธุรกิจที่เข้ามาลงทุนมาก ได้แก่ ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้บริการทดสอบทางเทคนิคเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์และการใช้พลังงานของยานยนต์ไฟฟ้าของลูกค้า เป็นต้น ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ
ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์/พัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า อาทิ แม่พิมพ์ ชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สำหรับข้อมูลการขอส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2563–2567 (2020–2024) นักลงทุนญี่ปุ่นยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับ BOI จำนวน 1,176 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านบาท
อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ประกอบด้วย อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิงจาก : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1191265