ไมโครชิพ (Microchip) ยักษ์ใหญ่ชิปจากสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขยายลงทุนในไทย ยอดลงทุนสะสมตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทรวมกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ยกระดับสู่ฐานหลักในการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง ย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพและระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย หนุนไทยมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย “ชิปเมดอินไทยแลนด์” แบบครบวงจร
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมสายการผลิตและพบหารือกับผู้บริหารบริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด ว่า “ไมโครชิพ” เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่รายแรกจากสหรัฐอเมริกาที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2538 และได้ขยายการลงทุนต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการของบีโอไอ ได้อนุมัติส่งเสริมการขยายการลงทุนโครงการประกอบและทดสอบชิป (Wafer Testing, IC Packaging and Testing) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลก มูลค่าลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้ยอดรวมถึงปัจจุบัน บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 12 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 38,000 ล้านบาท
ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) เป็นบริษัทในเครือ Microchip Technology Inc. ผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์และระบบควบคุมอัจฉริยะ โดยผลิตชิปประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ ชิปอะนาล็อกและการจัดการพลังงานที่เป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมอวกาศ บริษัทมีลูกค้ากว่า 1 แสนราย ในกว่า 120 ประเทศ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ
ในประเทศไทย ไมโครชิพมีโรงงานประกอบและทดสอบชิปโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 2 แห่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 4,500 คน ในจำนวนนี้เป็นวิศวกรไทย 440 คน ถือเป็นฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือ โดยกว่าร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของไมโครชิพทั่วโลกจะถูกส่งมาทดสอบที่โรงงานในไทยแห่งนี้ก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า โดยกิจการในไทยครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบวงจรรวมบนแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ การประกอบและทดสอบชิป การเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงการสนับสนุนด้านวิศวกรรม เทคนิคการผลิต และเทคโนโลยีการตรวจสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์แก่บริษัทในเครือทั่วโลก สำหรับการขยายการลงทุนรอบใหม่นี้ เน้นเพิ่มขีดความสามารถการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดโลก
นอกจากนี้ ไมโครชิพยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรไทย โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 21 แห่ง ทั้งระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษา รวมถึงโครงการสหกิจศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรขั้นสูงด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สั่งสมในฐานการผลิตในไทย ทำให้โรงงานในไทยเป็นหนึ่งในศูนย์ความรู้ที่ใช้อบรมและพัฒนาวิศวกรของบริษัทจากต่างประเทศอีกด้วย
“การที่บริษัทไมโครชิพ หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมชิประดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ได้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จนกลายเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเครือ อีกทั้งยังสนับสนุนให้วิศวกรไทยมีบทบาทสำคัญในการร่วมออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและทดสอบ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในขีดความสามารถของบุคลากรไทย และศักยภาพของไทยในการเป็นฐานที่มั่นสำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ซึ่งการขยายการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย และสนับสนุนให้ไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายชิปเมดอินไทยแลนด์” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐบาลเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่สิ้นสุดพร้อมรัฐบาลเดิม โดยมีวาระสำคัญที่เตรียมนำเสนอบอร์ดชุดใหม่ เช่น ยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (National Semiconductor Strategy) พร้อมข้อเสนอมาตรการสนับสนุนแบบครบวงจร รวมทั้งแผนการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เพื่อรองรับการลงทุนที่จะขยายตัวอย่างมากในอนาคต