ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากนโยบายการค้าสหรัฐที่มุ่งจะลดการขาดดุลกับประเทศคู่ค้าด้วยการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในอัตราสูงกับทุกประเทศ ประกอบกับบริบททางการค้า-การลงทุนที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในฐานะหน่วยงาน “ด่านหน้า” จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิด
โดย 1 ในนั้นก็คือ การกำหนดมาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องการให้สิทธิประโยชน์และการดึงดูดการลงทุนในประเภทกิจการแห่งอนาคต
อุตสาหกรรมคลื่นลูกใหม่
นโยบายการให้สิทธิประโยชน์ของ BOI มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จากเดิมที่แบ่งเป็นเขตส่งเสริมการลงทุน (เขต 1-2-3) ปัจจุบันแบ่งเป็น กลุ่มประเภทกิจการ A B เพื่อรองรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนสินค้าส่งออกกลายเป็น รถยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า
แต่ตอนนี้กำลังมีคลื่นลูกใหม่ของการลงทุนเข้ามา เป็นเทคโนโลยีใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ ๆ (S-Curve) ที่เป็นโอกาสของประเทศไทยที่เราจะดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุน ไม่ว่าจะเป็น เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, EV, แบตเตอรี่, ดิจิทัล AI และ BCG ใน 6-7 สาขานี้ถือเป็น “ของใหม่” ที่เราเองต้องทำให้เกิดฐานการผลิตใหม่ขึ้นในประเทศไทย และต้องก้าวด้วยสปีดที่เป็นสปีดเดียวกับโลก BOI ต้องพยายามดึงโอกาสให้เขาเข้ามาลงทุนให้กับประเทศไทยมากที่สุด
เรามองว่าอุตสาหกรรมคลื่นลูกใหม่เหล่านี้มีโอกาส “ไม่ได้เพ้อฝัน” เพราะไทยมีฐานผลิตเดิมอยู่แล้ว และมันอยู่ในวิสัยที่จะสามารถช่วงชิงโอกาสนี้ไว้ได้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราพยายามที่จะสร้างฐานอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยที่ไม่ได้ลืมอุตสาหกรรมเดิม
แต่เรา Update ของเดิมที่เรามี ด้วยการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่จะเข้าช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดิมปรับตัวให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ อัพเกรดเครื่องจักร อัพเกรดเทคโนโลยี ในขณะเดียวกัน BOI ก็จะต้องเข้าไปส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมของใหม่ขึ้น
สร้างคนไม่ทันต้องนำเข้า
แน่นอนว่าการสร้างของใหม่ มันต้องการองค์ประกอบใหม่ ๆ ด้วย นั่นก็คือ “คน” เพราะ “คน” คือหัวใจสำคัญ บุคลากรไทยปัจจุบันอาจจะมีองค์ความรู้ทักษะสำหรับอุตสาหกรรมเดิม อย่างเช่น เรื่องยานยนต์สันดาปและอิเล็กทรอนิกส์ การประกอบทดสอบเกี่ยวกับ ICE หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเบสิก
แต่ตอนนี้โลกกำลังก้าวสู่ของใหม่ ไทยจำเป็นต้องสร้างบุคลากรที่มีองค์ความรู้ใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ PCB และ AI ซึ่งขณะนี้ BOI ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการ “Upskill-Reskill” คนเดิมและสร้างบุคลากรที่มีอยู่ให้ทันกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมใหม่
และยังต้องสร้าง “Supply Chain” ใหม่ที่จะมารองรับ EV, เซมิคอนดักเตอร์, สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ต้องทำให้คนของเรามีขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนขึ้นมาใหม่ เพื่อป้อนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ
แต่การสร้างบุคลากรใหม่ ๆ ในขณะนี้ยังไม่ทันกับความต้องการของนักลงทุน ตรงนี้จึงเป็นที่มาของความพยายามที่จะดึงบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศเข้ามา ผ่าน SMART Visa ที่เอาไว้ดึงสตาร์ตอัพเข้ามาแล้ว 2,000 คน LTR Visa (Long-term Recident Visa) ไว้ดึงชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง เข้ามาแล้ว 6,000 คน และเรายังมี BOI Visa ในการดึงเอากลุ่มทักษะสูงมาช่วยเราด้วย เข้ามากว่า 55,000 คน โดยการให้ Visa
ทั้ง 3 ประเภทนี้สามารถดึงบุคลากรระดับสูงที่เราจะขาดอยู่เข้ามาแล้วประมาณ 60,000 คน เพื่อทดแทนคนที่เรายังสร้างมาไม่ทัน โดย Visa ที่เราออกให้ทั้งหมดนี้ได้ผ่านการตรวจสอบที่เข้มข้นว่า จะไม่มีปัญหาเรื่องจีนเทา หรือต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาทำงาน
ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งของมาตรการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยที่พึ่งผ่านบอร์ด BOI ก็ได้ออกข้อบังคับการจ้างงานบุคลากรต่างชาติสำหรับกิจการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างงานคนไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมดด้วย
เต็มแม็ก 8 ปีกิจการ Data
ในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันไม่ได้มองแค่สิทธิประโยชน์ เรื่องสิทธิประโยชน์น่าจะอยู่ในความสำคัญลำดับที่ 4-5 การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจะให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ต้องพร้อม ไฟฟ้า ราคาแข่งขันได้ น้ำเพื่ออุตสาหกรรมต้องเพียงพอ การมีนิคมอุตสาหกรรมที่เข้ารองรับ เรื่องของตลาดหลายอุตสาหกรรมต้องมีตลาดในประเทศหรือตลาดในภูมิภาค เรื่องของบุคลากร Supply Chain ต้องพร้อมสามารถมาใช้โดยไม่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่
ทั้งหมดนี้เพื่อนบ้านเราอย่าง มาเลเซีย เวียดนาม ก็มีเหมือนเรา แต่สิ่งที่ไทยเหนือกว่าที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยก็คือ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอุตสาหกรรม ยกตัวอย่าง Supply Chain อุตสาหกรรมยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ ไทยมีคุณภาพ เรียกได้ว่า “ดีที่สุด” คนงานของเรามีมาตรฐานคุณภาพดี และยอมรับได้อยู่ในระดับกลาง ๆ เรามีวิศวกรช่างเทคนิคคุณภาพดี แต่การจ่ายค่าแรงก็ต้องแพงขึ้นตามระดับมาตรฐานด้วย
ในส่วนนี้ไทยจึงไม่เหมาะกับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้นเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้เราเหมาะกับอุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีเบส แต่ถ้าจะพูดถึงการดึงอุตสาหกรรมอนาคต (S-Curve) ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์ ซึ่งประเทศคู่แข่งเราก็เพิ่มเหมือน ๆ กัน ยกตัวอย่าง เรามีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ตอนนี้เวียดนามก็มีเหมือนกัน ส่วนมาเลเซียก็มีการออก Visa พิเศษเหมือนไทยแล้ว
ตอนนี้ BOI ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงที่สุดคือ 15 ปี และมีการให้แล้วในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่เซลล์ อะไรที่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญเราจะให้เต็มแม็ก เพราะมันจะต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมอื่นได้อีกมาก ในอนาคตเมื่อประเทศไทยใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นเท่าไหร่ “แบตเตอรี่” ก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น Solar ไม่ได้ใช้ 24 ชั่วโมง ต้องมีตัวกักเก็บพลังงาน เพราะฉะนั้น ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ คือ หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทยในอนาคต
หรืออย่างการที่ BOI ต้องปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยเราจะให้สิทธิประโยชน์สูงสุด 8 ปี ในกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง หรือ Advanced Computing Capabilities และจะต้องมีมาตรฐานด้านประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งอิงกับมาตรฐานโลก PUE ต้องไม่เกิน 1.3
เพราะกิจการเหล่านี้ใช้ไฟฟ้าและน้ำเป็นจำนวนมาก คือการปรับครั้งนี้ BOI จะดู 2 เรื่องสำคัญ คือ การใช้พลังงานไฟฟ้า-น้ำ กับเรื่องของเทคโนโลยี ต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ-ไฟฟ้า บังคับให้ทำแผนในการพัฒนาคน-พัฒนา SMEs พัฒนาเทคโนโลยี และบังคับว่าต้องดำเนินการตามแผนก่อนที่จะใช้สิทธิประโยชน์
อันนี้เป็นเงื่อนไขใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้มั่นใจว่าประเภทกิจการ Data จะมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ และมีเทคโนโลยีในระดับสูงที่จะมารองรับการเป็น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ และสร้างประโยชน์กับเศรษฐกิจไทยทั้งในเรื่องการพัฒนาบุคลากร พัฒนา SMEs และพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมด จากข้อเท็จจริงที่ว่ากิจการเหล่านี้ใช้คนน้อย
ดังนั้น Value ของกิจการจะไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของการจ้างคน แต่อยู่ที่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นของประเทศ อัพเกรดบุคลากรขึ้นมาให้มีทักษะด้าน AI และทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่โลกยุค AI ได้เร็วขึ้น
การบังคับ Local Content
นอกจากนี้ ในมาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่ เรายังวางน้ำหนักและปรับทิศทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อย่างเช่น เหล็กล้นตลาด เราทยอยปิดกิจการเหล็กบางประเภท เหล็กตัวไหนที่ใช้กำลังการผลิตต่ำกว่า 30% ก็จะปิดการส่งเสริมไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทุกครั้งที่มีการปรับปรุงมาตรการ เราคุยกับภาคเอกชนก่อน ส่วนเรื่องการปรับปรุง Local Content นั้น
ปัจจุบันมีเพียงอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้นที่มีการกำหนดเอาไว้ โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม ทำตามข้อกำหนดของเขตปลอดอากร (ฟรีโซน) ของกรมศุลกากร คือ ต้องกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำ 40% ส่วนกรมสรรพสามิตจะกำหนดตามมาตรการ EV 3 และ 3.5 ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญภายในประเทศเป็นจำนวนชิ้น และ BOI กำหนดว่า ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอะไรบ้างในประเทศไทย ก็จะมีพวกแบตเตอรี่ BCU มอเตอร์ เป็นต้น
การจะกำหนด Local Content ของอุตสาหกรรมต้องใช้เวลา เราต้องมีซัพพลายเชนในประเทศที่มาป้อนให้กับอุตสาหกรรม ถ้าเราบังคับสุดโต่งโดยที่ไม่มีซัพพลายเชนรองรับ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดูตอนที่ญี่ปุ่นมาลงทุนรถ ICE ในประเทศไทย เราก็เริ่มใช้แค่ 20% จนมาถึงวันนี้ 80-90% ส่วนรถ EV มันเพิ่งจะเริ่มต้นผลิตเมื่อปีที่แล้ว (2567) แต่ยังไงก็ต้องถูกบังคับขั้นแรกก่อน
แต่การจะมาที่ 80% นั้นเป็นซัพพลายเชนในประเทศก็ต้องมีการพัฒนาเพื่อรองรับด้วย แบตเตอรี่เซลล์เราเพิ่งจะเริ่มต้นลงทุน เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เราจึงพยายามดึงการลงทุนเข้ามาเพิ่ม ถ้ามีอินวอเตอร์ BMS BCU มันเกิด Local Content มันก็จะสูงขึ้นตาม
ถ้าพูดถึงอุตสาหกรรมอื่นที่จะต้องกำหนด Local Content ในอนาคตจะมีความหลากหลายมาก ดังนั้น สิ่งที่ BOI กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ TDRI ให้เข้ามาช่วยเพื่อมาศึกษาแนวทางในการกำหนด Local Content เป็นรายผลิตภัณฑ์ อย่าง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมี Supply Chain ที่ยาวมาก เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ต้องมาดูทั้งการผลิตต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ
การกำหนด Local Content ต้องมีความเหมาะสมกับ Product แต่จะออกมาในรูปไหน จูงใจ หรือบังคับ ต้องมาคุยกัน เราต้องบาลานซ์หลาย ๆ ส่วน ต้องรักษาความสมดุลหลาย ๆ อย่าง ทั้งการแข่งขันในประเทศและการแข่งขันระหว่างประเทศ ต้องอย่าลืมว่าวันนี้เราต้องแย่งชิงการลงทุนจากประเทศคู่แข่ง ถ้าเราออกมาตรการแบบสุดโต่งคนเดียวเลย โดยที่คู่แข่งยังไม่มีมาตรการแบบนี้ก็จะลำบาก
ส่วนเรื่อง Nontech ก็เป็นอีกส่วนที่จะต้องดู หลายกิจการที่เข้ามาลงทุนไม่ใช่แค่สิทธิประโยชน์แล้วเขาจะเข้ามาลงทุนทันที ยิ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ปัญหายิ่งเยอะ BOI จึงเป็น “ตัวกลาง” ในการช่วยประสานในการแก้ปัญหาให้กับนักลงทุน เราต้องมี Ecosystem ใหม่ ๆ เพื่อมารองรับ อาจจะยังไม่เหมาะสมหรือไม่เพียงพอ เราก็ต้องไปประสานงานให้กับหน่วยต่าง ๆ เพื่อ Support อย่างเรื่อง “คน” สำคัญที่สุดกับอุตสาหกรรมใหม่
เราก็ต้องพัฒนาหรือจำเป็นต้องจัดหาคนให้ด้วย โดยการทำ Job Matching ผลักดันให้เกิด คณะเซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนียริ่ง ขึ้นมาที่จุฬาฯ และพระจอมเกล้าฯ เช่นเดียวกับเริ่มมีคณะที่เกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์เอ็นจิเนียริ่งด้วย เพราะเราไม่ค่อยมีบุคลากรด้านนี้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ก็จะเอาบริษัทที่ลงทุนด้านนี้มาทำงานควบคู่กับมหาวิทยาลัยไปเลย
ข้อมูลจาก : https://www.prachachat.net/economy/news-1816778